วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันวิสาขบูชา


วันวิสาขบูชา


http://www.thaigoodview.com/files/u2330/maka1.jpg

ความหมาย

วันวิสาขบูชา มายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะหรือเดือน ๖
เนื่องในโอกา
สวันประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้า

ความสำคัญ
พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธปรินิพพานเวียนมาบรรจบในวันและเดือนเดียวกัน คือ วันเพ็ญเดือนวิสาขะ จึงถือว่าเป็นวันที่สำคัญของพระพุทธเจ้า หลักธรรมอันเกี่ยวเนื่องจากกาประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธปรินิพพาน คือ ความกตัญญู อริยสัจ ๔ และความไม่ประมาท

ประสูติ พระ เจ้าสุทโธทนะมีพระอัครมเหสีทรงพระนามว่า มหามายาเทวี ทั้งสองพระองค์ทรงอยู่ร่วมกันมาด้วยความผาสุก จนกระทั่งพระเทวีทรงมีพระครรภ์ เมื่อพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระสวามี ให้แปรพระราชฐานไปประทับที่กรุงเทวทหะเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ก็เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมสมัยนั้น ๑ พระเทวีเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์พร้อมด้วยข้าราชบริพารในเวลาเช้า ของวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี เมื่อขบวนเสด็จผ่านมาถึงสวนลุมพินี ๒ อันตั้งอยู่กึ่งกลางทางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะต่อกัน พระนางทรงมีพระประสงค์จะประพาสอุทยาน ข้าราชบริพารจึงเชิญเสด็จแวะไปประทับพักผ่อนอิริยาบถใต้สาละ ๓ ขณะประทับอยู่ที่สวนลุมพินีนั้น พระนางได้ประสูติ พระโอรสภายใต้ต้นสาละ เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทราบข่าวประสูติ จึงตรัสสั่งให้เชิญเสด็จ พระนางพร้อมด้วยพระราชกุมารกลับคืนกรุงกบิลพัสดุ์โดยด่วน
สวนลุมพินีข่าวประสูติแพร่ไปถึงอสิตดาบส๔ ผู้อาศัยอยู่ในอาศรมเชิงเขาหิมาลัย ดาบสท่านนี้มีความคุ้นเคยกับราชสำนักของพระเจ้าสุทโธทนะ พอทราบข่าวประสูติของพระราชกุมาร ดาบสจึงลงจากเขาเข้าไปเยี่ยมเยียนราชสำนัก ท่านมีความรู้เกี่ยวกับการทำนายมหาปุริสลักษณะ พอเป็นพระราชกุมารก็ทำนายได้ทันทีว่า นี่คือผู้จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวพยากรณ์ว่า "พระราชกุมารนี้จักบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ เห็นแจ้งพระนิพพานอันบริสุทธ์อย่างยิ่ง ทรงหวังประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก จะประกาศธรรมจักรพรหมจรรย์ของพระกุมารนี้จักแพร่หลาย"๕ แล้วกราบลงแทบพระบาทของพระกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรู้สึกอัศจรรย์และเปี่ยมล้นด้วยปีติ ถึงกับทรุดพระองค์ลงอภิวาทพระราชกุมารตามอย่างดาบส

เมื่อพระกุมารประสูติได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้ประกอบพิธีเฉลิมฉลองรับขวัญ และขนานพระนาม โดยเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนผู้เชี่ยวชาญไตรเพทมาบริโภคโภชนาหาร ที่ประชุมของพราหมณ์ได้ถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" แปลว่า "สมประสงค์" กล่าวคือพระราชกุมารจะทรงปรารถนาสิ่งใด ก็จะได้สิ่งนั้นตามความปรารถนา คนส่วนมากมักเรียกพระองค์ตามชื่อโคตรว่า "โคตมะ"

ต่อจากนั้นพราหมณ์ ๘ คน ๖ ผู้รู้การทำนายลักษณะได้ตรวจสอบลักษณะของพระกุมารแล้ว พบว่าพระกุมารมีลักษณ์มหาบุรุษ ๓๒ ประการ ๗ จึงให้คำทำนายชีวิตในอนาคตของพระกุมาร พราหมณ์ ๗ คน ทำนายว่าพระสิทธัตถราชกุมารนี้ ถ้าอยู่ครองเพศฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ถ้าออกผนวช จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาเอกของโลก แต่พราหมณ์คนที่ ๘ ชื่อว่าโกณฑัญญะให้คำทำนายยืนยันหนักแน่นเป็นคติเดียวว่า พระกุมารจะต้องออกผนวชและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อจากนั้น ที่ประชุมของพราหมณ์ได้ถวายพระนามแก่พระกุมารว่า "สิทธัตถะ" แปลว่า "สมปรารถนา" หมายความว่า "ผู้สร้างความสมปรารถนาแก่ชาวโลกทั้งปวง" ๘

ตรัสรู้ ในเวลาเช้าของวันเพ็ญเดือน ๖ พระสิทธัตถะประทับนั่งใต้โคนต้นไทร นางสุชาดานำถาดอาหารมาเพื่อแก้บนรุกขเทวดาประจำต้นไทร พบพระสิทธัตถะก็เข้าใจว่าเป็นเทวดานั่งรอเครื่องพลีกรรม จึงนำข้าวมธุปายาสไปถวายทั้งถาด พระสิทธัตถะรับของถวายแล้วถือถาดไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา สรงสนานพระวรกายแล้วขึ้นมาประทับนั่งเสวยข้าวมธุปายาสจำนวน ๔๙ ปั้นจนหมด จากนั้นเสด็จไปประทับในดงไม้สาละ จนเวลาเย็นจึงเสด็จไปที่ต้นมหาโพธิ์ ทรงปูลาดหญ้าคา ๘ กำที่โสตถิยพราหมณ์ถวายในระหว่างทางลงใต้ต้นมหาโพธิ์ ประทับนั่งขัดสมาธิ ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก หันประปฤษฎางค์เข้าหาต้นมหาโพธิ์ ทรงอธิษฐานว่า "แม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไป เรายังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณตราบใด จะไม่ลุกขึ้นจากที่นี่ตราบนั้น"๑

จากนั้น ทรงเจริญสมาธิภาวนาจนจิตเป็นสมาธิได้ฌานที่ ๔ แล้วบำเพ็ญภาวนาต่อไปจนได้ฌาน ๓ คือ ในยามที่หนึ่งของคืนนั้นทรงได้ปุพเพนิวาสนุสติญาณ คือ ระลึกชาติปางก่อนของพระองค์เองได้ ในยามที่ ๒ ทรงได้จุตูปปาตญาณ คือมีตาทิพย์สามารถเห็นการจุติและอุบัติของวิญญาณทั้งหลาย และในยามสุดท้าย ทรงได้อาสวักขยญาณ คือตรัสรู้อริยสัจ ๔ ว่าอะไรคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ความรู้นี้ทำให้กิเลสาสวะหมดสิ้นไปจากจิตใจ

พระพุทธเจ้าตรัสเล่าถึง สภาพจิตของพระองค์ขณะเข้าถึงความหลุดพ้นไว้ว่า
"เมื่อเรารู้เห็น (อริยสัจ ๔) อย่างนี้ จิตจึงหลุดพ้นทั้งจาก กามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว เราได้มีญาณหยั่งรู้ว่า ตัวเองหลุดพ้นแล้ว เรารู้แจ่มชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์จบแล้ว ทำหน้าที่สำเร็จแล้ว ไม่มีอะไรให้เป็นอย่างนี้อีกแล้ว"๒

พระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเวลาที่แสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้า รวบระยะเวลาที่บำเพ็ญเพียรตั้งแต่ออกผนวชจนตรัสรู้ได้ ๖ ปี ขณะที่ตรัสรู้พระองค์มีพระชนมายุ ๓๕ พรรษา

"พระเจดีย์ ศรีมหาโพธิ์-พุทธคยา" ที่ประทับตรัสรู้ตั้งอยู่ที่ ตำบลพุทธคยา อำเภอคยา จังหวัดคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย มีลักษณะเป็นรูปเจดีย์ ๔ เหลี่ยมสูง ๑๗๐ ฟุต วัดโดยรอบฐาน ๑๒๑.๒๙ เมตร มีรูปทรงเรียวรี สมส่วน สง่างาม ประทับตา ประทับใจแก่ทุกท่านที่ได้เห็นและน้อมนมัสการเป็นอย่างมาก เดิมนั้น บริเวณพุทธคยา ที่ประทับตรัสรู้ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้สร้างเป็นมหาวิหารที่สง่างามและใหญ่โต ทั่วรัฐพิหาร ซึ่งเป็นรัฐที่กว้างใหญ่รัฐหนึ่งของอินเดีย มีพลเมืองถึง ๖๐ ล้านเศษ (มากกว่าจำนวนพลเมืองในประเทศไทย ทั้งประเทศ) ในยุคสมัยพระพุทธศาสนารุ่งเรือง ต่างก็ได้สร้าง "วิหาร" ไว้อย่างมากมายเต็มทั่วทั้งรัฐ มีลักษณะเหมือนเมืองไทยเราสร้างวัดไว้อย่างมากมาย ไปบ้านไหนเมืองใดก็จะพบแต่วัดที่สวยงาม ดังนั้น "รัฐพิหาร" ของอินเดียในปัจจุบันที่ได้นามนี้เป็นชื่อรัฐ ก็เพราะรัฐนี้มี "วิหาร" เต็มทั่วไปหมด

เมื่อ ปีพุทธศักราช ๖๙๔ กษัตริย์ชาวพุทธ พระนามว่า "หุวิชกะ" ได้พิจารณาเห็นความสำคัญของพระพุทธศสานาและเพื่อเป็นศูนย์รวมศรัทธา ในฐานะที่พุทธศาสนาและเพื่อเป็นศูนย์รวมศรัทธา ในฐานะที่พุทธคยาเป็นพุทธสถานต้นกำเนิดพระพุทธศาสนาจึงได้ให้ช่างออกแบบ สร้าง "เจดีย์ศรีมหาโพธิ์พุทธคยา" เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นรูปเจดีย์สี่เหลี่ยมทรงรีสวยงาม สร้างเป็น ๒ ชั้น ชั้นล่างเป็นที่กราบน้อมนมัสการ ชั้นบนเป็นห้องภาวนาเพื่อสงบจิตใจ

เนื่องจากองค์พระเจดีย์มีอายุยืนนาน ได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์โดยลำดับมา เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๙ (๕ ธันวาคม ๒๕๑๙) คณะกรรมการองค์พระเจดีย์ได้ขอร้องให้ พระธรรมมหาวีรานุวัตร (บุญเลิศ ท. คล่องสั่งสอน) เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา และหัวหน้าพระธรรมฑูตไทย-ในอินเดีย (ในสมัยนั้น) ในนามชาวพุทธไทยบูรณะชั้นบนองค์พระเจดีย์ (สร้างเป็นห้องไทย) และช่วยสร้างกำแพงแก้วรอบองค์พระเจดีย์ทั้งหมด ๘๐ ช่องพร้อมทั้งซุ้มประตูศิลปแบบอโศก ๒ ซุ้ม ทำให้องค์พระเจดีย์ได้รับการดูแลสะอาดเรียบร้อยดีงามขึ้น ส่วนยอดองค์พระเจดีย์ (ตรัสรู้) ชาวพุทธไทยได้ขอติดตั้งไฟแสงจันทร์ให้งามสว่างไสว แก่องค์พระเจดีย์มาจนบัดนี้

ปรินิพพาน พรรษาที่ ๔๕ เป็นพรรษาสุดท้ายของพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุในขณะนั้นได้ ๘๐ พรรษา ในพรรษานี้พระองค์ได้เสด็จประทับจำพรรษา ณ เวฬุวคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างพรรษานี้ พระองค์ทรงประชวรอย่างหนัก มีความเจ็บปวดอย่างรุนแรงถึงกับจะปรินิพพาน แต่พระองค์ทรงระงับความเจ็บปวดทรมานด้วยการเข้าเจโตสมาธิอันไร้นิมิต ในวันเพ็ญเดือนสามภายหลังพรรษานั้น พระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับ ณ ปาวาลเจดีย์ ตรัสบอกพระอานนท์ว่า พระองค์ได้ตัดสินพระทัยว่าจะปรินิพพานในเวลา ๓ เดือนนับแต่วันนั้น การตัดสินพระทัยเช่นนี้เรียกว่า ปลงพระชนมายุสังขาร

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระพุทธองค์เสด็จออกจากเมืองเวสาลีแสดงธรรมในที่ต่าง ๆ จนถึงวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๖ เหลืออีกเพียง ๑ วันจะครบ ๓ เดือน พระองค์เสด็จถึงเมืองปาวา ประทับอยู่ในสวนมะม่วงของนายจุนทะ ทรงแสดงธรรมโปรดนายจุนทะให้ได้บรรลุโสดาปัตติผล และนายจุนทะได้อาราธนาพระพุทธองค์ พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตนในวันรุ่งขึ้น พระพุทธองค์ทรงรับอาราธนา

ัวนรุ่งขึ้นตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ เสด็จไปฉันภัตตาหารที่บ้านนายจุนทะ ซึ่งเป็นการรับบิณฑบาตครั้งสุดท้าย พระองค์ฉันสูกรมัททวะ๑ ที่นายจุนทะทำถวาย ทรงห้ามมิให้ภิกษุอื่นฉันสูกรมัททวะนั้น หลังจากอนุโมทนาแล้ว เสด็จออกจากบ้านนายจุนทะ ในระหว่างทางทรงประชวรหนักขึ้นถึงลงพระโลหิต แต่ทรงบรรเทาทุกขเวทนานั้นด้วยกำลังอธิวาสนขันติและฌานสมาบัติ เสด็จเดินทางต่อไป ทรงพักเหนื่อยเป็นระยะ ๆ จนลุถึงเมืองกุสินารา เสด็จเข้าไปยังดงไม้สาละ รับสั่งให้ปูลาดเสนาสนะ ระหว่างไม้สาละคู่หนึ่งแล้วเสด็จบรรทมสีหไสยาโดยมิได้คิดจะลุกขึ้นอีก เวลานั้นต้นสาละทั้งคู่ผลิดอกบานเต็มต้นโปรยดอกหล่นต้องพระพุทธสรีระ ประดุจเป็นการบูชาพระพุทธองค์

เมือง กุสินาราขณะประทับในอิริยาบถนั้น ทรงแสดงธรรมตลอดเวลาทรงแนะนำพระอานนท์ให้ปฏิบัติต่อพุทธสรีระ เช่นเดียวกับการปฏิบัติพระบรมศพของพระเจ้าจักรพรรดิ ในคืนนั้นสุภัททปริพาชกได้ขอเข้าเฝ้าทูลถามปัญหาต่าง ๆ พระองค์ทรงตอบปัญหาให้เป็นที่พอใจ สุภัททปริพาชกเลื่อมใสทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระองค์ทรงอนุญาตการอุปสมบทให้เป็นพิเศษ สุภัททะจึงได้บวชเป็นพระภิกษุ นับเป็นสาวกองค์สุดท้าย อันนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญพุทธกิจจนนาทีสุดท้ายแห่ง พระชนม์ชีพ

จาก นั้น พระพุทธองค์ทรงเปล่งวาจาเป็นปัจฉิมโอวาทว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังประโยชน์ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด"๒ สิ้นพระสุรเสียงนี้ก็มีแต่ความเงียบสงบ พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานในยามสุดท้ายแห่งคืนพระจันทร์เต็มดวงของเดือน วิสาขะ๓
พระพุทธเจ้าประสูติกลางดินภายใต้ต้นสาละในวันเพ็ญเดือนหก ตรัสรู้กลางดินภายใต้ต้นมหาโพธิ์ในวันเพ็ญเดือนหก และปรินิพพานกลางดินภายใต้ต้นสาละในวันเพ็ญเดือนหก

ความสำคัญ

1. องค์การสหประชาชาติ ยกย่องให้ วันวิสาขบูชา
เป็นวันสำคัญสากลของสหประชาชาติคือ "วันสำคัญของโลก" ( Vesak Day )

2. เป็นวันสำคัญอย่างยิ่งของพุทธศาสนา
เนื่องจากเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ เป็นวันตรัสรู้ และวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ซึ่งทั้ง ๓ เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นตรงกันในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ กล่าวคือ


ครั้งแรก
เป็น วันประสูต
ของเจ้าสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาได้ออกบวช
และบำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ สวนลุมพินีวัน
ซึ่งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ
(ปัจจุบันอยู่ในเมืองลุมมินเด ประเทศเนปาล)
ในเช้าวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี
(ปีพุทธศักราช เริ่มนับตั้งแต่พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพาน)


ครั้งที่สอง
เป็น วันตรัสรู้
ของพระพุทธเจ้า ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ
(ปัจจุบันอยู่ที่เมืองพุทธคยา แคว้นพิหาร ประเทศอินเดีย)
ในวันพุธขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี


ครั้งที่สาม
เป็น วันปรินิพพาน
ณ สาลวโนทยานของมัลลกษัตริย์
เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ
(ปัจจุบันอยู่ในเขตเมืองกุสีนคระ
แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย)
เมื่อวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง
รวมสิริพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา
ก่อนพุทธศักราช ๑ ปี


กล่าวกันว่า การบังเกิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มิใช่ภาวะที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ
พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าไว้ชัดเจนว่า พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีมาแล้วถึง
๒๐ อสงไขยกับแสนกัป(นานมากจนนับไม่ถ้วน) ตลอดภพชาติอันยาวนานในอดีต
ทรงสะสมบารมีไว้ถึง ๑๐ ประการ เรียกว่า “ทศบารมี” อันได้แก่
ทาน ศีล เนกขัม (ตัดอาลัยจากครอบครัว และออกบวชประพฤติพรหมจรรย์)
ปัญญา (ศึกษาให้แจ้งทั้งทางโลกทางธรรม) วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน(ตั้งปณิธานแน่วแน่ที่จะทำดี)
เมตตาและอุเบกขา ซึ่งพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญความดี รักษาความบริสุทธิ์ทั้งกาย
วาจาและใจเช่นนี้มาหลายภพหลายชาติจนชาติสุดท้ายก็คือ พระเวสสันดร ตามที่ทราบกันดีอยู่แล้ว

ดังนั้น จึงมิใช่เรื่องง่ายที่คนเราทุกคนจะได้เกิดในยุคที่มีพระพุทธเจ้ามาโปรดสัตว์
อย่างไรก็ดี ในกัปนี้ (โบราณถือว่า โลกประลัยครั้งหนึ่งเป็นสิ้นกัปหนึ่ง แสดงว่านานมากทีเดียว)
จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้และโปรดสัตว์ ๕ พระองค์ โดยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ ๔
คือ พระสมณโคดม (หรือเจ้าชายสิทธัตถะ) ส่วนองค์ต่อไปที่จะตรัสรู้และมาโปรดสัตว์ในอนาคต
คือ พระศรีอารยเมตไตรย (พระ-สี-อา-ระ-ยะ-เมด-ไต) ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “พระศรีอาริย์” (พระ-สี-อาน)
ซึ่งเราคงได้ยินผู้ใหญ่พูดถึงเสมอๆ สำหรับอีกสามพระองค์แรกคือ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ
พระพุทธเจ้าโกนาคมโน และพระพุทธเจ้ากัสสโป


กิจกรรมของวันวิสาขบูชา

กิจกรรมต่างๆ ที่พุทธศาสนิกชนปฏิบัติในวันมาฆบูชา






๑. ทำบุญใส่บาตร






๒. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ



๓. ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม และฟังพระธรรมเทศนา






๔. ไปเวียนเทียนที่วัด







ห ลั ก ธ ร ร ม ส ำ คั ญ ที่ ค ว ร น ำ ม า ป ฏิ บั ติ


๑.
ความกตัญญู
คือความรู้อุปการคุณที่มีผู้ทำไว้ก่อน เป็นคุณธรรมคู่กับ
ความกตเวที คือ การตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้น

บิดามารดา มีอุปการคุณแก่ลูก ในฐานะผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูจนเติบโต ให้การศึกษาอบรมสั่งสอน
ให้เว้นจากความชั่ว มั่นคงในการทำความดี เมื่อถึงคราวมีคู่ครองได้จัดหาคู่ครองที่เหมาะสมให้
และมอบทรัพย์สมบัติให้ไว้เป็นมรดก

• ลูกรู้อุปการะคุณที่บิดามารดา ทำไว้ ย่อมตอบแทนด้วยการประพฤติตัวดี
สร้างชื่อเสียงให้ แก่วงศ์ตระกูล เลี้ยงดูท่าน และช่วยทำงานของ ท่าน และเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว
ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน

ครูอาจารย์มีอุปการคุณแก่ศิษย์ ในฐานะเป็นผู้ประสาทความรู้ให้
ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดี สอนศิลปวิทยาให้อย่างไม่ปิดบังยกย่องให้ปรากฎแก่คนอื่น
และช่วยคุ้มครองให้ศิษย์ทั้งหลาย


ศิษย์เมื่อรู้อุปการคุณที่ครูอาจารย์ ย่อมตอบแทนด้วยการตั้งใจเรียน ให้เกียรติ และให้ความเคารไม่ล่วงละเมิดโอวาทของครู

ความกตัญญูและความกตเวทีนี้ ถือว่าเป็นเครื่องหมายของคนดี ส่งผลให้ครอบครัว และสังคมมีความสุขได้เพราะ บิดามารดาจะรู้จักหน้าที่ของตนเอง ด้วยการทำอุปการคุณให้ก่อน และลูกก็จะรู้จักหน้าที่ของตนเองด้วยการทำดีตอบแทน

นอกจากบิดากับลูก และครูอาจารย์กับศิษย์แล้ว คุณธรรมข้อนี้ก็สามารถนำไปใช้ได้แม้ระหว่าง
นายจ้างกับลูกจ้าง อันจะส่งผลให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข


ในทางพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้า ทรงเป็นบุพการรีในฐานะที่ทรงสถาปนาพระพุทธศาสนา
และทรงสอนทางพ้นทุกข์ให้แก่เวไนยสัตว์

พุทธศาสนิกชน รู้พระคุณอันนี้จึงตอบแทนด้วยอามิสบูชาและปฏิบัติบูชากล่าวคือการจัดกิจกรรม
ในวันวิสาขบูชา เป็นส่วนหนึ่งที่ชาวพุทธแสดงออก ซึ่งความกตัญญูกตเวที ต่อพระองค์ด้วยการ
ทำนุ บำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา และประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อดำรงอายุพระพุทธศาสนาสืบไป


๒. อ ริ ย สั จ ๔
อริยสัจ ๔ คือ ความจริงอันประเสริฐ หมายถึงความจริงของชีวิตที่ไม่ผันแป
ร เกิดมีได้แก่ทุกคน
มี ๔ ประการ คือ

• ทุกข์ ได้แก่ปัญหาของชีวิตพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ก็เพื่อให้ทราบว่ามนุษย์ทุกคนมีทุกข์เหมือนกัน
ทั้งทุกข์ขั้นพื้นฐาน และทุกข์เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวัน

ทุกข์ขั้นพื้นฐานคือทุกข์ที่เกิดจาก การเกิด การแก่ และการตาย
ส่วนทุกข์ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวัน คือทุกข์ที่เกิด จากการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก
ทุกข์ที่เกิดจากการประสบกันสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ทุกข์ที่เกิดจากไม่ได้ตั้งใจปรารถนา
รวมทั้งทุกข์ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตด้านต่างๆ อาทิความ ยากจน


• สมุทัย คือ เหตุแห่งปัญหาพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์ทั้งหมดซึ่งเป็นปัญหา
ของชีวิตล้วนมีเหตุให้เกิดเหตุนั้น คือ ตัญหา อันได้แก่ความอยากได้ต่างๆ ซึ่งประกอบไปด้วยความยึดมั่น

• นิโรธ คือ การแก้ปัญหาได้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์คือปัญหาของชีวิต
ทั้งหมดที่สามารถแก้ไข ได้นั้นต้องแก้ไขตามทางหรือวิธีแก้ ๘ ประการ ( ดูมัชฌิมาปฎิปทา )

• มรรค การปฏิบัติเพื่อจำกัดทุกข์ เพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ การปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา

เพื่อบรรลุเป้าหมายการแก้ปัญหาที่ต้องการ


๓. ค ว า ม ไ ม่ ป ร ะ ม า ท
ความไม่ประมาทคือ การมีสติเสมอทั้ง ขณะทำขณะพูด และขณะคิด

สติคือการระลึกได้ ในภาคปฎิบัติเพื่อนำ มาใช้ในชีวิตประจำวัน
หมายถึง การระลึกรู้ทันการเคลื่อนไหว ของอริยาบท ๔ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน
การฝึกให้เกิดสติทำได้โดยตั้งสติกำหนดการเคลื่อนไหวของอริยาบท กล่าวคือ
ระลึกทันทั้งในขณะ ยืน เดิน นั่ง และนอน รวมทั้ง ระลึกรู้ทัน ในขณะพูดคิด
และขณะทำงานต่างๆ เมื่อทำได้อย่างนี้ก็ชื่อว่า มีความไม่ประมาท การทำงานต่างๆ
สำเร็จได้ก็ด้วยความไม่ประมาท กล่าวคือผู้ทำย่อมต้องมีสติระลึกรู้อยู่ว่า
ตนเองเป็นใครมีหน้าที่อะไร
และกำลังทำอย่างไร หากมีสติระลึกรู้ได้อย่างนั้น ก็ย่อมไม่ผิดพลาด

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การนับศักราชและการแบงยุคสมั ยทางประวัติศาสตรสากลและไทย



การนับศักราชแบบไทยและสากล


การนับศักราชแบบไทย
มีดังนี้
๑.มหาศักราช(ม.ศ.)

มหาศักราชเกิดขึ้นในประเทศอินเดียภายหลังพุทธศักราช ๖๒๑ ปีแพร่หลายเข้ามาสู่ประเทศไทยผ่านทางพวกพราหมณ์เป็นผู้นำเข้ามาพร้อมกับตำรา โหราศาสตร์ ในประเทศไทยใช้มหาศักราชก่อนศักราชอื่นๆ ตั้งแต่สมัยก่อนสุโขทัยจนถึงสมัยอยุธยาตอนกลางพบหลักฐานที่ใช้มากในศิลา จารึกสมัยสุโขทัย


๒.พุทธศักราช(พ.ศ.)

พุทธศักราชเกิดขึ้นในประเทศอินเดียและแพร่หลายในประเทศที่ตนนับถือพุทธศาสนา เป็นหลัก การนับพุทธศักราชเริ่มตั้งแต่ปีที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแต่มี วิธีการนับแตกต่างกันในไทยยึดหลักการนับ พ.ศ.๑ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ๑ ปี ไทยใช้พุทธศักราชมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ในสมัยอยุธยาบางรัชกาลใช้พุทธศักราชร่วมกับศักราชอื่นและใช้แพร่หลายในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช และประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปีพ.ศ.๒๔๕๕ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว


๓.จุลศักราช(จ.ศ.)
จุลศักราชเกิดขึ้นในประเทศพม่าภายหลังพุทธศักราช ๑๑๘๑ ปีแพร่หลายเข้ามาสู่ประเทศไทย
และเริ่มใช้จุลศักราชมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและต่อมาใช้อย่างแพร่หลายในสมัยอยุธยาตอนปลายและต่อเนื่องมาจนถึง
สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พบหลักฐานที่ใช้จุลศักราช เช่น พงศาวดารกรุงศรี อยุธยา กฎหมายตราสามดวง เป็นต้น ปัจจุบันยังใช้จุลศักราชในเอกสารบางประเภท เช่น ตำราโหราศาสตร์

๔.รัตนโกสินทร์ศก(ร.ศ.)

รัตนโกสินทร์ศกเป็นการนับศักราชที่ใช้เฉพาะประเทศไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๓๒ โดยเริ่มนับร.ศ.๑เมื่อปีพ.ศ.๒๓๒๕ ซึ่งเป็นปีที่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ไทยเริ่มใช้การนับแบบร.ศ. ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและต่อมาสมัยพระบาทสมเด็จพระ มงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเปลี่ยนไปใช้การนับพุทธศักราชจนถึงปัจจุบัน หลักฐานที่ใช้รัตนโกสินทร์ศก เช่น พระราชหัตเลขารัชกาลที่ ๕ และจดหมายพระราชกรณียกิจรายวันในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


การนับศักราชแบบสากล มีดังนี้
ศักราชที่ใช้กันแพร่หลายเป็นสากลในปัจจุบัน คือ คริสต์ศักราช(ค.ศ.) นอกจากนี้ยังมีฮิจเราะห์ศักราช(ฮ.ศ.) ซึ่งมีนับถืออิสลามทั่วโลกใช้

๑.คริสต์ศักราช (ค.ศ.)
เริ่มนับศักราชที่ ๑ โดยนับเมื่อพระเยชูศาสนาของศาสนาคริสต์ประสูติหลังพุทธศักราช ๕๔๓ ปีเป็นศักราชที่ใช้กันแพร่หลายทั่วโลกอันเนื่องมาจากประเทศมหาอำนาจ เช่น อังกฤษ และฝรั่งเศสใช้คริสต์ศักราชเมื่อเข้าไปจับจองอาณานิคมจึงนำคริสต์ศักราชเข้า ไปดินแดนนั้นด้วยหลักฐานที่ปรากฏ เช่น หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอังกฤษ แล ประเทศสยาม คริสต์ศักราช ๑๘๒๖ และหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอเมริกา แล ประเทศสยาม คริสต์ศักราช ๑๘๓๓ เป็นต้น


๒.ฮิจเราะห์ศักราช(ฮ.ศ.)

เป็นการนับศักราชที่ประเทศส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เริ่มนับฮิจเราะห์ศักราชที่ ๑ในปีที่ท่านนบีมูฮำมัดพร้อมกับสาวกอพยพจากเมืองเมกกะไปอยู่ที่เมืองเมดินะ ฮิจเราะห์ศักราช มีเคาะลีฟฮ์ โอมาร์ หรือกาหลิบ โอมาร์ เป็นผู้ก่อตั้ง ชาวมุสลิมทั่วโลกใช้ฮิจเราะห์ศักราชในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของตน

การเปรียบเทียบศักราช

ม.ศ.+621=พ.ศ.

พ.ศ.-621=ม.ศ.

จ.ศ.+1181=พ.ศ.

พ.ศ.-1181=จ.ศ.

ร.ศ.+2325=พ.ศ.

พ.ศ.-2325=ร.ศ.

ค.ศ.+543=พ.ศ.

พ.ศ.-543=ค.ศ.

ฮ.ศ.+621=ค.ศ

ค.ศ.-621=ฮ.ศ.

ฮ.ศ.+1164=พ.ศ.

พ.ศ.-1164=ฮ.ศ


การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์


1. การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สากล

- แบ่งต่ามความเจริญทางอารยธรรมของมนุษย์

- แบ่งตามการเริ่มต้นของเหตุการณ์สำคัญ

- แบ่งตามชื่อจักรวรรดิ หรืออาณาจักรที่สำคัญที่เคยรุ่งเรือง

- แบ่งตามราชวงศ์ที่ปกครองประเทศ

- แบ่งตามการตั้งเมืองหลวง


ตารางการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สากล

สมัยก่อนประวัติศาสตร์

สมัยประวัติศาสตร์

สมัยโบราณ

สมัยกลาง

สมัยใหม่

สมัยปัจจุบันหรือร่วมสมัย

ยุคหินเก่า มนุษย์ใช้เครื่องมือทำด้วยหินหยาบ ๆ อาศัยอยู่ในถ้ำ ล่าสัตว์

เริ่มประมาณ ๓,๕๐๐ ปีก่อน ค.ศ.เมื่อมนุษย์ประดิษฐ์อักษรถึง ค.ศ. ๔๗๖ เมื่อจักรวรรดิโรมันสิ้นสุด เพราะการรุกรานของพวกอนารยชนเยอรมัน

เริ่ม ค.ศ. ๔๗๖ หลังสิ้นสุดจัรวรรดิโรมัน จนถึง ค.ศ.๑๔๙๒ เมื่อคริสโตเฟอร์ดโคลัมมบัส ค้นพบทวีปอเมริกา

เริ่มจาก ค.ศ. ๑๔๙๒ เมื่อยุโรปขยายอำนาจและอิทธิพลไปยังส่วนต่าง ๆ ของโลก ทำให้มีผลต่อความเจริญของโลกมัยใหม่ จนถึง ค.ศ.๑๙๔๕ เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒

เริ่มจาก ค.ศ.๑๙๔๕ จนถึงเหตุการณ์และความเจริญปัจจุบัน มีผลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน

ยุคหินใหม่ มนุษย์ใช้เครื่องมือหินที่มีการขูดแต่ง ตั้งถิ่นฐานเพราะปลูก เลี้ยงสัตว์

ยุคโลหะ มนุษย์ใช้เครื่องมือที่ทำด้วยโลหะ เช่น สำริด เหล็ก อยู่เป็นชุมชน






ยุคหินเก่า

เครื่องมือหินกะเทาะแบบอาชลีน (Acheulean)


เครื่องมือหินกะเทาะ แบบมูส์เตเรียน (Mousterian )



ขัดเครื่องมือให้เรียบและคม ใช้ประโยชน์ได้หลายด้านมากขึ้น




ยุคหินใหม่
ตัวอย่างเครื่องมือหินขัด และเครื่องปั้นดินเผา

ขวานหินขัดก่อนใส่ด้าม ขวานหินขัด พร้อมด้ามไม้

เครื่องปั้นดินเผายุคหินใหม่ พบในประเทศจีน

2. การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย
ส่วนใหญ่ยึดถือหลักเกณฑ์ของประวัติศาสตร์สากล แบ่งเป็น สมัยก่อนประวัติศาสตร์ไทย และสมัยประวัติศาสตร์ไทย

สมัยประวัติศาสตร์ไทยแบ่งตาม

- สมัยโบราณหรือสมัยก่อนสุโขทัย ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๑๘๐ ถึง พ.ศ. ๑๗๙๒

- สมัยสุโขทัย ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๗๙๒ ถึง ๒๐๐๖

- สมัยอยุธยา ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๙๓ ถึง ๒๓๑๐

- สมัยธนบุรี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๑๐ ถึง ๒๓๒๕

- สมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ ถึง ปัจจุบัน


การเทียบสมัยประวัตอศาสตร์สากลและไทย


ประวัติศาสตร์สากล

ประวัติศาสตร์ไทย

สมัยโบราณ

- อารยธรรมเมโสโปเตเมีย

- อารยธรรมอียิปต์

- อารยธรรมกรีก

- อารยธรรมโรมัน

สิ้นสุดสมัยโบราณ เมื่อ ค.ศ. ๔๗๖(พ.ศ.๑๐๑๙)

สมัยโบราณหรือสมัยก่อนสุโขทัย

- อาณาจักรลังกาสุกะ

- อาณาจักรทวารวดี

- อาณาจักรโยนกเชียงแสน

- อาณาจักรตามพรลิงค์

สมัยกลาง

- จักรวรรดิโรมันตะวันออกสิ้นสุด ค.ศ.๑๔๕๓

- การสร้างอาณาจักรคริสเตียน

- การปกครองในระบบฟิวดัล

- การฟื้นฟูเมืองและการค้า

- การฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ

- การค้นพบทวีปอเมริกา

สมัยสุโขทัย

สมัยอยุธยา

สมัยใหม่

- การสำรวจทางทะเล

- การปฏิวัติวิทยาศาสตร์

- การปฏิวัติอุตสาหกรรม

- การปฏิวัติฝรั่งเศส

- สงครามโลกครั้งที่ 1-2

- สิ้นสุดสมัยใหม่ ค.ศ.1945

สมัยธนบุรี
สมัยรัตนโกสินทร์

สมัยปัจจุบัน- ร่วมสมัย ปัจจุบัน

- ยุคสงครามเย็น

- ยุคเทคโนโลยีการสื่อสาร

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช (๒๔๘๙ - ปัจจุบัน)


แบบทดสอบหลังเรียน
http://quickr.me/hVIcWjq

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553